ปรสิต หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า พยาธิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตด้วยการอาศัยและขยายพันธุ์อยู่ภายในหรือภายนอกสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ที่เรียกว่า โฮสต์ (Host) เช่น คน สัตว์ หรือพืช ซึ่งโฮสต์จะรับปรสิตเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ได้แก่
1. การกินอาหารที่มีการปนเปื้อนไข่ปรสิตชนิดต่างๆ ทั้งพยาธิ (parasite) ไมโครสปอริเดีย (Microsporidia) สปอโรซัว (Sporozoa) แฟลเจลเลต (flagellate) และซิลิเอต (Ciliate) โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
2. การชอนไชเข้าทางผิวหนัง หรือบริเวณที่มีบาดแผล เช่น โรคหิด, โรคเหา
3. การแพร่เข้าสู่ระบบเลือด จากสัตว์พาหะที่ชอบดูดกินเลือด ได้แก่ ยุง เห็บ เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ปรสิตขนาดเล็กสามารถแพร่เข้าสู่ระบบเลือดจึงทำให้เกิดโรคได้
4. การสัมผัสสัตว์ที่เป็นโฮสต์ชนิดอื่นๆที่มีปรสิตเกาะอยู่ เช่น สุนัข แมว ไก่ เป็นต้น ซึ่งทำให้ปรสิตบางชนิดสามารถกระโดดเกาะ และกลายเป็นปรสิตที่อาศัยในมนุษย์ได้ เช่น เห็บ เหา เป็นต้น
โรคติดเชื้อปรสิตจัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยและเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่พบว่าปรสิตที่ก่อโรคในคนจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางอาหารและน้ำ จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นโฮสต์ตัวกลางที่มีการปนเปื้อนของปรสิตในระยะติดต่อ เช่น การรับประทานปลาน้ำจืดที่ปรุงไม่สุก เช่น ปลาซิว ปลาตะเพียน ที่มีปรสิตระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ในตับ การรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัว ที่มีปรสิตระยะติดต่อของพยาธิตืดหมู ตืดวัว เป็นต้น นอกจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่สุกๆ ดิบๆ แล้วโรคติดเชื้อปรสิตยังเกิดได้จากการใช้น้ำในการอุปโภคและบริโภคได้อีกด้วย ทั้งนี้เกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคชนิดต่างๆ ทั้ง แบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต โดยเฉพาะจากเชื้อปรสิต เนื่องจากปรสิตมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าแบคทีเรีย และไวรัส โดยทั่วไปคลอรีนในน้ำประปาจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสได้ แต่สำหรับปรสิตนั้นต้องใช้ความเข้มข้นของคลอรีนสูงมากกว่า
ปรสิตที่ติดต่อผ่านทางน้ำที่พบบ่อย ได้แก่
1. Acanthamoeba spp. เป็นโปรโตซัวที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติ เช่น ดินและน้ำ ก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงในคน เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแขน ขา อ่อนแรง โรคกระจกตาอักเสบ ทําให้เกิดแผลที่กระจกตา ตาแดง เคืองตา
2. Giardia lamblia เป็นโปรซัวที่อยู่ตามดิน และน้ำ ติดต่อได้จากการปนเปื้อนอยู่ในสระว่ายน้ำ น้ำประปา หรือปนเปื้อนจากการกินผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งเชื้อชนิดนี้จะมีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม และไม่ถูกทำลายด้วยคลอรีน
3. Cryptosporidium parvum เป็นโปรโตซัวชนิดหนึ่ง ระยะที่อยู่ในร่างกายคนหรือสัตว์ มักจะฝังตัวอยู่ในผนัง ลำไส้ ทำให้มีอาการท้องร่วงคล้ายโรคบิด
4. Entamoeba histolytica หรือเชื้อบิดชนิดมีตัว ปรสิตนี้เป็นโปรโตซัว ที่ก่อให้เกิดโรคบิดอะมีบาในลำไส้ ในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวมีมูกเลือดปนและอุจจาระมีกลิ่นเหม็นเน่า
ปรสิตที่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีปรสิตระยะติดต่อปนเปื้อน ที่พบบ่อย ได้แก่
1. Opisthorchis viverrine หรือพยาธิใบไม้ตับ ที่ก่อโรคพยาธิใบไม้ตับ (opisthorchiosis) ในคน จากการรับประทานปลาน้ำจืดที่มีระยะติดต่อ เช่น ปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย เป็นต้น โดยปรสิตจะเจริญเป็นตัวเต็มวัยในท่อน้ำดีของตับ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจำนวนมากจะมีอาการตับโต ตัวเหลือง อาหารไม่ย่อย ทั้งนี้อาการจะขึ้นอยู่กับจำนวนของพยาธิที่มีอยู่ในร่างกาย
2. Taenia spp. หรือพยาธิตัวตืด ที่พบบ่อยคือ พยาธิตืดหมู (Taenia solium) และตืดวัว (Taenia saginata) พยาธิกลุ่มนี้ก่อให้เกิดโรคพยาธิตัวตืด (taeniasis) จากการรับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีพยาธิระยะติดต่อ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายเม็ดสาคูเข้าไป พยาธิตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวเต็มวัยในลำไส้เล็ก ผู้ป่วยที่เป็นโรคพยาธิตัวตืดจะมีอาการ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หรือจากการที่คนรับประทานผักสดหรือดื่มน้ำที่มีไข่พยาธิปนเปื้อน อาจทำให้ตัวอ่อนพยาธิเข้าไปฝังในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้
3. Angiostrongylus cantonensis หรือพยาธิหอยโข่ง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพยาธิปอดหนู โดยพยาธิชนิดนี้จะเจริญเป็นตัวเต็มวัยที่หลอดเลือดแดงของปอดหนู และเมื่อตัวอ่อนปนเปื้อนมากับมูลหนูก็จะไชเข้าหอยต่อไป คนมีโอกาสติดเชื้อพยาธิหอยโข่งจากการรับประทานหอยน้ำจืดที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อ เช่น หอยโข่ง หอยเชอรี่ ซึ่งการติดเชื้อในคนอาจทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง เป็นอัมพาต หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้
หลักสูตรวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ